หัวข้อ: เซลล์เม็ดเลือดขาว cd4 กับแบบแผนการแพทย์แผนปัจจุบันในงานรักษาพยาบาลคนไข้โรคเอดส์
เริ่มหัวข้อโดย: JoshuaPowell25 ที่ มีนาคม 14, 2017, 01:19:07 pm
(http://)
โดยระดับปกติของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของหญิงที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีความโอนเอียงที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 1600.
ค่าโดยทั่วไปแล้วเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางท่านสูง บางท่านต่ำ ค่าประจำของ % Lymp อยู่ในช่วงใกล้เคียง 19-48% ดังนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์ต้นฉบับที่หมอใช้ในการวินิจฉัยโรคในขั้นแรก
ปกติร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี อาจแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขจำนวนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นเต้นตกใจเลยใช่มั้ยขอรับ
แม้ว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของสตรีจะขึ้นและลงในช่วงที่มีระดู ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells เบาบางลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายพัก T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นต้น
การถอยอย่างมากมายของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นสัญญาณของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าผู้เจ็บป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การดูแลร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจสอบวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างบ่อย เพราะระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการเยียวยารักษา หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่คนไข้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางชนิด เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลป้องกันโรคปอดอักเสบ เป็นต้น
ในปัจจุบันนี้มียาต้านไวรัสเอดส์มากมาย ออกฤทธิ์สกัดการเพาะพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์ลดลงได้ และช่วยปกป้องไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด T-cell
ช่วงปัจจุบันเราใช้ปริมาณเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีจำนวนรวมเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และความเจ็บไข้แทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้เจ็บป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์จำนวนรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภาระหน้าที่เป็นเหมือนตัวบังคับการระบบภูมิคุ้มกันทั้งปวง พอเซลล์นี้ถูกทำลายไประบบภูมิต้านทานก็ทำงานเพี้ยน ทำให้ไม่สามารถปกป้องรักษาร่างกายจากเชื้อโรคแตกต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดเชื้อโรคเหล่านี้เข้าพร้อมๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ผลที่สุด การตรวจสอบหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิต้านทานของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ในปัจจุบันนี้วิวัฒนาการทางการแพทย์ล้ำสมัยก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บไข้ต่างๆ สามารถทำได้อย่างฉับพลัน และช่วยลดการเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิกลพิการของผู้ป่วยได้มากมาย
แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอเล่าง่ายๆ ครับผมว่า cd4 บางครั้งถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปจู่โจมทำลาย
ครั้งนี้เรามาดูกันว่าหมอมีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้คนป่วย โดยพินิจจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 (http://gelaids.com) แบบ cd4
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวเบาบางลงอย่างรวดเร็วในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาพยาบาลระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงเดิมได้ มีความโน้มเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติขอรับ เมื่อใดที่การตรวจวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นแสดงว่าระดับภูมิต้านทานของร่างกายได้ถูกทำร้ายแล้ว
เพราะเช่นนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นกฏเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบผู้รักษาเพื่อขอทานยาต้านไวรัสได้เลย แต่กระนั้นถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งรับประทานยาต้าน ให้รักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนขอรับ ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral
ยาต้านไวรัสเอดส์ส่วนใหญ่ใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบปัญหาของการใช้ยาบางชนิด ได้แก่ อุปสรรคจากผลข้างเคียงของยา ปัญหากา