สธ.ปรับการรักษาเอดส์ มอบยาต้านไวรัสผู้ติดเชื้อฟรี ทั้งไทย-ต่างด้าว หลังรู้ตัวว่าติดเชื้อทันทีทันใด หวังลดการถึงแก่ชีวิตได้ปีละ 700 คน ลดผู้ติดเชื้อรายใหม่เหลือปีละไม่ถึง 1,000... ครั้นเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม นายแพทย์สมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค นายอภิวัฒน์ กวางแก้ว ประธานเครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ ประเทศไทย และนายนิมิตร์ เทียนอุดม ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ ร่วมกันอธิบายข่าวเรื่อง "เอดส์ รู้เร็ว รักษาได้" เนื่องมาจากวันที่ 1 ตุลาคม นับเป็นวันรณรงค์เพื่อเข้าถึงการรักษาเอดส์ หรือเป็นวันที่ยาต้านไวรัสเอชไอวีบรรจุอยู่ในสิทธิ์ประโยชน์หลักรับประกันสุขภาพแห่งชาติ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2548 เดี๋ยวนี้ ปัญหาการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี และโรคเอดส์ในไทย จัดเป็นโรคติดเชื้อที่มีอาการเรื้อรัง แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่มีแนวโน้มลดลง ล่าสุดในปี 2556 มีประมาณ 8,000 คน แต่ยอดสั่งสมผู้ติดเชื้อฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2527 ที่ยังมีชีวิตอยู่จนถึงปัจจุบันนี้มีประมาณ 460,000 คน และได้รับการรักษาเอดส์ด้วยยาต้านไวรัสฯ 246,049 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ของผู้ติดเชื้อฯ ที่เซลล์เม็ดเลือดขาว ซีดี4 (CD4) น้อยกว่า 350 เซลล์ ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และร้อยละ 54 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั้งหมด ผลจากการเฝ้าระแวดระวังการติดเชื้อเอชไอวีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา พบว่าในกลุ่มชายรักชายมีอัตราการติดเชื้อร้อยละ 8-25 และมีแนวโน้มสูงขึ้น เนื่องจากไม่ใช้ถุงยางอนามัยป้องกัน คาดว่าในช่วงปี 2555 2559 จะพบผู้ติดเชื้อจากกลุ่มชายรักชายสูงถึง 43,040 คน หรือประมาณร้อยละ 40 ของผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั้งหมด ปัจจุบัน มีข่าวสารการวิจัยระดับโลก พบว่าหากผู้ติดเชื้อเอชไอวีได้รับยาต้านไวรัสเร็วไม่เกิน 1 เดือนหลังพิจารณา และกินต่อเนื่อง จะมีผลที่เกิดขึ้นในการลดการติดเชื้อเอชไอวีได้สูงร้อยละ 96 จนไม่สามารถกระจายโรคต่อไปได้ จะลดการสิ้นชีพคนป่วยได้ปีละไม่ต่ำกว่า 700 คน หากใช้มาตรการการป้องกันจากการให้ยาต้านไวรัสฯ ผสมผสานกับการป้องกันคือ โครงการถุงยางอนามัย 100 เปอร์เซ็นต์ แน่ใจว่าจะสามารถลดจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ได้ปีละไม่ถึง 1,000 ราย ได้ภายในปี 2573 หรืออีก 16 ปีข้างหน้า มีผลให้ไทยอาจจะคุมโรคนี้ไม่ให้เป็นปัญหาสาธารณสุขของประเทศได้ นายแพทย์สมศักดิ์ กล่าวต่อว่า ในปีงบประมาณ 2558 นี้ ซึ่งเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2557 เป็นต้นไป รัฐบาลมีนโยบายดำเนินการด้านเอดส์ 3 ประการใหญ่ ได้แก่ 1. การให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี รักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวีทุกคนให้เร็วที่สุด และให้ฟรี โดยไม่คำนึงถึงปริมาณเม็ดเลือดขาวซีดีโฟว์ (CD4) ทุกสิทธิ์ประกันสุขภาพทั้งคนไทยและแรงงานข้ามชาติ เพื่อทำให้ผู้ติดเชื้อสุขภาพแข็งแกร่ง ไม่ป่วย ทำงานมีรายได้เหมือนคนปกติ 2. ลดการเลือกปฏิบัติและการละเมิดสิทธิ์ผู้ติดเชื้อ เพื่อคุ้มกันสิทธิ์แก่ผู้ติดเชื้อสามารถทำงานได้ โดยกระทรวงสาธารณสุขจะให้สถานบริการสาธารณสุขทั้งรัฐและเอกชน เป็นตัวอย่างที่ดีไม่เลือกปฏิบัติและคุ้มครองสิทธิประชาชน และจะมีมาตรการขั้นเด็ดขาดต่อหน่วยบริการสาธารณสุขทั้งรัฐเอกชนที่ฝ่าฝืน ละเมิดสิทธิ์ผู้ติดเชื้อ และ 3 เปิดโอกาสให้ประชาชนไทยทุกคนทุกสิทธิ์หลักประกันสุขภาพที่มีพฤติกรรมเสี่ยงติดเชื้อ เอชไอวี เช่น มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกัน ใช้ยาเสพติดชนิดฉีดร่วมกับผู้อื่น รับคำปรึกษาและตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี ตามความสมัครใจได้ในโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่งทั่วประเทศ ปีละ 2 ครั้ง โดยจะเร่งรัดให้ทราบผลตรวจเร็วขึ้นจาก 3 วัน เหลือ 1 วัน หากพบว่าติดเชื้อฯ จะให้บริการรักษาเอดส์ (http://www.hibstation.com/articles/42209117/%E0%B9%80%E0%B8%AA%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%A0%E0%B8%B9%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%99-%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1CD4-%E0%B8%97%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%AA%E0%B9%80%E0%B8%9F%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C-%E0%B9%81%E0%B8%9F%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%AD%E0%B8%94%E0%B8%AA%E0%B9%8C.html)ด้วยการให้ยาต้านไวรัสทันทีโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย สามารถ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่สายด่วนระดับชาติ 1663 ตลอด 24 ชั่วโมงฟรี ด้านนายแพทย์โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ในการลดผู้ติดเชื้อรายใหม่ ในปีงบประมาณ 2558 กรมควบคุมโรคได้จัดเตรียมถุงยางอนามัยแจกฟรี 22 ล้านชิ้น เน้นกลุ่มเสี่ยงหลัก ได้แก่ กลุ่มชายมีเพศสัมพันธ์กับชาย กลุ่มพนักงานบริการทางเพศ กลุ่มผู้ต้องขัง และกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด ส่วนการรักษาเอดส์จะให้ยาต้านไวรัสเอชไอวี กับผู้ที่ติดเชื้อเอชไอวีทุกรายไม่คำนึงถึงระดับภูมิคุ้มกัน นอกจากนี้ ยังได้เสนอยาต้านไวรัสตัวใหม่ในสูตรดื้อยา และยาต้านไวรัสชนิดรวมเม็ดเข้าอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ เพื่อผู้ป่วยกินได้สะดวกขึ้นป้องกันปัญหาเชื้อดื้อจากการกินยาไม่ต่อเนื่อง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ กรมควบคุมโรคได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรณรงค์ให้วันที่ 1 กรกฎาคม และตลอดเดือนกรกฎาคมของทุกปีเป็นเดือนแห่งการดูแลสุขภาพและสร้างความตระหนักในการสมัครใจตรวจเลือดหาการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งนี้ ยังได้ร่วมกับแพทยสภา และภาคีเครือข่ายปรับแนวทางปฏิบัติสำหรับแพทย์ ในการตรวจหาการติดเชื้อเอชไอวี ให้ผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ได้โดยไม่ต้องผ่านการลงนามยินยอมจากผู้ปกครอง เพื่อเพิ่มโอกาสการเข้าถึงยาต้านไวรัสอย่างรวดเร็ว สำหรับผลจากการที่ผู้ติดเชื้อได้รับยาต้านไวรัสอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ ปี 2548 เป็นต้นมา พบว่าตัวเลขการสิ้นชีพผู้ติดเชื้อผู้ป่วยเอดส์ลดลงมาก จากสูงสุดในปี 2542 จำนวน 9,154 คน เหลือ 673 คน ในปี 2553 หรือลดลงถึง 13 เท่าตัว ขณะเดียวกัน ผลของการให้ยาต้านไวรัสยังลดการป่วยเป็นเอดส์เต็มขั้นในผู้ติดเชื้อลงได้ 6 เท่าตัว จาก 30,076 คน ในปี 2542 เหลือ 5,058 คน ในปี 2553 ขอบอกประชาชนทุกกลุ่มวัยมีโอกาสติดเชื้อเอชไอวี การมีเพศสัมพันธ์ทั้งเพศเดียวกันและต่างเพศควรป้องกันด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกคราว ถ้าทุกคนปฏิบัติตามจะลดการติดเชื้อฯได้ 100 เปอร์เซ็นต์ หยุดฉีดยาเสพติด หากเลิกไม่ได้ควรใช้เข็ม และกระบอกฉีดยาของตนเอง และก่อนมีครอบครัวควรตรวจเลือด ทั้งสองฝ่ายเพื่อจะได้ไม่ต้องมาเข้าทำการรักษาเอดส์และใช้ยาต้านไวรัส ประชาชนสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Call center 1330 กด 4, 0-2941-2320 ต่อ 181, 182 หรือสายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422 นายแพทย์โสภณกล่าว(http://upic.me/i/ja/0aids.jpg) (http://upic.me/show/55148888)