ชมรมเจ้ามือหวย

หมวดหมู่ทั่วไป => สันทนาการและสัพเพเหระ => ข้อความที่เริ่มโดย: JoshuaPowell25 ที่ สิงหาคม 01, 2017, 06:30:08 pm



Powered by SMF 1.1.20 | SMF © 2006-2009, Simple Machines
ผลสลากกินแบ่งรัฐบาลงวด 16 กรกฎาคม 2565 รางวัลที่ 1 620405 รางวัล3ตัวหน้า 159 834 รางวัล3 ตัวท้าย 279 061 รางวัลเลขท้าย 2ตัว 53




เว็บโปรแกรมเจ้ามือหวย



ทำงานแบบมีหลักการ ไม่กล้าจนเกินตัว ไม่กลัวจนเกินเหตุ
ปณิธานของชมรมเจ้ามือหวย
ทางชมรมเจ้ามือหวย หวังแค่เพียงเพื่อนๆ อยู่กันแบบเป็นพี่เป็นน้อง จริงใจ ให้เกียรติซึ่งกันและกัน
ร่วมมือกันในการแบ่งปันข้อมูล มีอะไรดีๆ ก็นำเสนอแก่เพื่อนสมาชิก เพื่อเป็นแนวทางในการทำงาน
หรือระวังป้องกันให้ชาวชมรมได้อยู่ในวงการตลอดไปนานเท่านาน
ขอบคุณจากใจจริง
nongnai




หัวข้อ: เซลล์เม็ดเลือดขาว cd4 กับลาดเลาการแพทย์แผนปัจจุบันในงานรักษาพยาบาลผู้เจ็บป่วยโรคเอดส์
เริ่มหัวข้อโดย: JoshuaPowell25 ที่ สิงหาคม 01, 2017, 06:30:08 pm
โดยทั่วไปร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี สามารถแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นเลขจำนวนที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนจนน่าตื่นตกใจเลยใช่มั้ยครับ

ต่อนี้ไปเรามาดูกันว่าหมอมีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้ป่วย โดยพินิจจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 อย่างใด

ในล่าสุดวิวัฒนาการทางการแพทย์ทันสมัยก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยความเจ็บไข้ต่างๆ สามารถทำได้อย่างฉับพลัน และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือทุพพลภาพของผู้ป่วยได้มากมาย

การถอยอย่างมากของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นวี่แววของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าคนป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์แบบ การป้องกันร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างบ่อย เนื่องจากระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการรักษาพยาบาล หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่คนไข้เพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางพวก เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลป้องกันโรคปอดอักเสบ เป็นต้น

ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวลดลงอย่างทันทีทันใดในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาพยาบาลระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงเดิมได้ มีความโน้มเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติครับผม เมื่อใดที่การตรวจวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นกล่าวถึงว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำลายแล้ว

ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์แม่แบบที่หมอใช้ในการวินิจฉัยโรคในระดับต้น

ยาต้านไวรัสเอดส์โดยมากใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบปัญหาของการใช้ยาบางประการ ได้แก่ ปัญหาจากผลข้างเคียงของยา อุปสรรคการดื้อยาทั้งในระยะ

ค่าปกติธรรมดาเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางคนสูง บางคนต่ำ ค่าธรรมดาของ % Lymp อยู่ในช่วงราว 19-48% ฉะนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา

เพราะเช่นนั้นค่าที่เป็น Absolute cd4 (http://gelaids.com/) จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นหลักเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 ลงมา ก็ไปพบคุณหมอเพื่อขอกินยาต้านไวรัสได้เลย อย่างไรก็ตามถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งกินยาต้าน ให้รักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับผม ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางคนเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
 ศัพท์แสงทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
 (ARV) ย่อมาจาก antiretroviral cd4

แต่ถ้าพูดถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอเล่าง่ายๆ ครับว่า cd4 เป็นครั้งคราวถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิต้านทานของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีจุดสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดโรคเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปโจมตีทำลาย

โดยระดับปกติธรรมดาของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 – 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของสุภาพสตรีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีแนวโน้มที่สูงกว่านิดหน่อย คือ 500 – 1600.

แม้กระนั้นว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของผู้หญิงจะขึ้นและลงในช่วงที่มีเมนส์ ยาคุมกำเนิดชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells ลดน้อยลงได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายพักเหนื่อย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% ฯลฯ

ในล่าสุดมียาต้านไวรัสเอดส์ส่วนมาก ออกฤทธิ์ยับยั้งการขยายพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์เบาลงได้ และช่วยปกป้องรักษาไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวพวก T-cell

ปัจจุบันเราใช้จำนวนรวมเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค เช่น ผู้ที่มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของผู้ป่วย ผู้ที่เจาะได้เซลล์ผลรวมน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน

เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภาระหน้าที่เป็นเหมือนตัวดูแลระบบภูมิต้านทานทั้งมวล พอเซลล์นี้ถูกทำร้ายไประบบภูมิต้านทานก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถพิทักษ์ร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมกันๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ท้ายที่สุด การตรวจสอบหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิต้านทานของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิต้านทานแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง