หลายๆ คนมักเข้าใจผิดว่าการจะเลือกหลอดไฟให้ดูที่วัตต์ ยิ่งวัตต์มากยิ่งสว่าง แต่จริงๆ แล้ววัตต์เป็นหน่วยของพลังงานที่ใช้ ยิ่งมากแปลว่ายิ่งกินไฟ การที่เราจะเลือกหลอดไฟมาใช้มีองค์ประกอบต่างๆ ที่เราต้องนำมาพิจารณาอยู่หลายตัวด้วยกันค่ะ
1.ค่าพลังงาน : มีหน่วยเป็นวัตต์ที่เราเห็นบนกล่องหลอดไฟ เป็นค่าพลังงานที่ใช้ ยิ่งวัตต์สูง ยิ่งทำให้ใช้ไฟฟ้ามากตามไปด้วย
2.ค่าฟลักซ์แสงสว่าง : มีหน่วยเป็นลูเมน (Lumen) เป็นหน่วยวัดความสว่างของแสงที่เปล่งออกมา ยิ่งมากแสดงว่าหลอดไฟดวงนี้ให้แสงสว่างมาก
3.ค่าประสิทธิภาพ : หรือเรียกว่า Efficacy เป็นการนำค่าแสงสว่าง (ลูเมน) มาหารด้วยค่าพลังงาน (วัตต์) ค่าที่ออกมา แปลได้ว่า หลอดไฟหลอดนี้ใช้พลังงาน 1 วัตต์ ให้แสงสว่างกี่ลูเมน ยิ่งสูงแปลว่า 1 วัตต์ให้แสงสว่างเยอะ ทำให้คุ้มค่ามากยิ่งขึ้น
4.ค่าอุณหภูมิสี : หรือ Color Temperature มีหน่วยเป็น Kelvin (K) ซึ่งมีพื้นฐานมาจากสีของท้องฟ้าในแต่ละช่วง มีตั้งแต่ 1,000-10,000 องศาเคลวิน (K) หลังๆ แบ่งออกเป็น 3 โทน
หลอดไฟ Warmwhite ช่วยให้บรรยากาศอบอุ่ม ผ่อนคลาย
Daylight : มีอุณหภูมิสีที่ 6,000 K เป็นแสงโทนสีขาว เป็นสีที่ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด นิยมใช้เนื่องจากทำให้แสงที่สะท้อนจากวัตถุไม่เพี้ยน จะพบเห็นได้ตามสำนักงาน โรงงานอุตสาหกรรม บ้านเรือน
Coolwhite : มีอุณหภูมิสี 4,000-5,000 K เป็นแสงโทนสีเหลืองขาว คุณสมบัติคือทำให้สีจากวัตถุดูคมชัดและเข้มขึ้น ไม่นิยมนำมาใช้ แต่จะถูกใช้ไปกับงานป้าย งานโชว์สินค้า ไฟบนเวที เป็นต้น
Warmwhite : มีอุณหภูมิสีอยู่ที่ 2,000-3,000 K เป็นแสงโทนสีเหลืองเข้ม เป็นสีที่มีผลต่อความรู้สึก ทำให้อบอุ่นและผ่อนคลาย จึงเหมาะนำไปใช้ในสถานที่ให้บริการ อย่างร้านสปา โรงแรม หรือตามบ้านเรือนอย่างในห้องนอน ห้องน้ำ เป็นต้น
5.ค่าความถูกต้องของสี : หรือ Color Rendering Index (CRI) เป็นค่าที่บอกว่าแสงไฟจากหลอดไฟหลอดนี้ เมื่อกระทบกับวัตถุจะทำให้สีของวัตถุเพี้ยนจากความเป็นจริงมกน้อยเพียงใด ซึ่งใช้มาตรฐานจากแสงอาทิตย์ที่ถือว่าเป็นแสงธรรมชาติ หากหลอดไฟหลอดใดมีค่า CRI สูงยิ่งให้ความถูกต้องของสีวัตถุใกล้เคียงกับแสงอาทิตย์มากที่สุด ทำให้สีไม่เพี้ยน และดวงตาของเราไม่ทำงานหนักเกินไป
6.ขั้วหลอดไฟ : การจะซื้อหลอดไฟ เราจำเป็นต้องดูที่ขั้วหลอดไฟให้ตรงกับแท่นขั้วที่เราจะนำหลอดไฟไปใช้งาน ซึ่งปกติแล้วขั้วหลอดไฟที่นิยมใช้จะมี E27 E14 (ขั้วเกลียว) G10 (ขั้วขาตะเกียบ)
เปลี่ยนหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์เป็นหลอดไฟแอลอีดี
อย่างที่ทราบว่าหลอดไฟแอลอีดี (LED) เป็นหลอดไฟที่กำลังได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ และถูกพัฒนาให้มีประสิทธิภาพสูง ประหยัดพลังงาน อายุการใช้งานนานขึ้นในราคาที่รับได้ หากเราจะเปลี่ยนจากหลอดไฟฟลูออเรสเซนต์มาเป็นหลอดไฟแอลอีดี ก็ทำได้ยาก แต่มีข้อควรปฏิบัติอยู่บ้างสำหรับหลอดไฟ Tube หรือหลอดไฟยาว ก่อนจะเปลี่ยนเป็นหลอดไฟแอลอีดี ต้องเอาบัลลาสต์ กับสตาร์ทเตอร์ออกก่อน เพราะหลอดไฟแอลอีดีไม่ต้องใช้สองส่วนนี้ สามารถต่อไปตรงได้เลย
ดังนั้นหากคุณกำลังมองหาหลอดไฟใช้งานที่บ้าน สำนักงาน ร้านอาหาร หรือสถานที่ต่างๆ และต้องการความคุ้มค่า ทั้งอายุการใช้งาน และประหยัดพลังงาน แถมดีไซน์สวย ทันสมัย ใช้งานง่าย คงต้องเลือกเป็นหลอดไฟแอลอีดี (LED) และอย่าลืมดูค่าต่างๆ ที่ข้างกล่องก่อนนำไปใช้งานด้วยนะคะ
บริหารจัดการอาคาร: เลือกซื้อหลอดไฟต้องดูอะไรบ้าง อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://snss.co.th/dt_post/technical-services/