ปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นกับการรักษามะเร็งด้วยตัวเอง
ผมขอแชร์ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นกับตัวเองกับการรักษามะเร็งด้วยตัวเองที่ทำให้ผมลอดพ้นจากโรคมะเร็งต่อมน้ำลายและเพดานปากครับ
ผมเชื่อว่าหลายๆ
ท่านที่เป็นโรคนี้หรือกำลังจะเป็นต้องมีแต่ความกังวลเต็มไปหมดแต่เชื่อเถอะครับหากใจเราสู้ซะอย่างยังไงผ่านไปได้แน่นอนและในบางเคสเราสามารถ
รักษามะเร็งด้วยตัวเองได้เลยครับ
ผมชื่ออนุภาครับ
อาชีพรับราชการ
ตอนนี้ก็ดำรงตำแหน่งพนักงานคดีปกครอง
ทำงานที่ศาลปกครองเชียงใหม่ครับ
โรคที่เป็นก็คือเป็นเนื้อร้ายที่ต่อมน้ำลายบริเวณเพดานปาก
ก็เลยต้องผ่าตัดเอากระดูกเพดานปากและฟันบางส่วนออกไป
ประมาณครึ่งปากส่วนบนแล้วก็ต้องใส่เพดานปากเทียมแทนครับ
ตอนแรกๆ
ผมก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตปรกตินี่แหละครับ
ไม่ดื่มเหล้า
ไม่สูบบุหรี่
ทานอาหารเพื่อสุขภาพเป็นส่วนใหญ่
อาการตอนแรกๆ
ที่เจอมันเหมือนกับว่าเราเป็นร้อนใน
แล้วมันมีก้อนเนื้อขึ้นที่ตรงเพดานปาก
เราก็พยายามหายามาทาแต่มันก็ไม่หายไปและก้อนเนื้อก็ค่อยๆ
โตขึ้นๆ
ผมเริ่มกังวลใจก็เลยไปหาหมอ
หมอก็ส่งไปวิเคราะห์ชิ้นเนื้อ
หมอตั้งข้อสงสัยว่าน่าจะเป็นเนื้องอกยังไม่มีการฟันธงว่าเป็นเนื้อร้ายอะไร
ก็เลยเข้าไปตรวจที่โรงพยาบาลศิริราช
คุณหมอที่ศิริราชตรวจชิ้นเนื้อและอธิบายผลว่าเป็นเนื้อร้าย
เป็นมะเร็งครับ
ก็ต้องเข้ารับการผ่าตัด
คุณหมอเค้าเตรียมโปรแกรมไว้ว่านอกจากผ่าตัดแล้วยังต้องตามด้วยการทำรังสีรักษาและทำเคมีบำบัดหรือว่าฉายรังสีกับทำคีโมนั่นเองครับ
ผมเคยถามหมอตรงๆ
ว่าสาเหตุที่เกิดก้อนเนื้อเพราะอะไร
คุณหมอก็บอกว่าไม่มีสาเหตุ
ผมงงมากว่าเกิดขึ้นได้ยังไง
เพราะเราก็ใช้ชีวิตระมัดระวังมาตลอดทั้งเรื่องอาหารการกิน
เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่แตะ
เค้าก็อธิบายมาทำนองว่า
มันมีเซลล์เนื้อร้ายอยู่ในร่างกายทุกคน
ขึ้นอยู่กับว่าจะแจ็กพ็อตกลายร่างเป็นมะเร็งขึ้นมาเมื่อไหร่
ถ้าภูมิต้านทานเราดีอยู่
ร่างกายก็จะจัดการทำลายออกไปเอง
แต่ถ้าร่างกายเราอ่อนแอมันก็พร้อมที่จะออกฤทธิ์ได้ทุกเมื่อและนี่คือจุดแรกเริ่มในการรักษามะเร็งด้วยตัวเองของผมครับ
หลังจากผ่าตัดแล้วได้เข้าพบหมอใหม่เพื่อทำการฉายรังสี
ก่อนทำการฉายรังสิ
คุณหมอได้ทำ MRI
เพื่อสแกนดูพื้นที่เนื้อร้ายปรากฏพบว่ามีเนื้อร้ายเหลืออยู่และขึ้นไปข้างบน
คุณหมอให้ทางเลือกมาผม 2
ทางคือ ผ่าตัดใหม่
หรือฉายรังสีเลย
ซึ่งเป็นวิธีฉายรังสีแบบ 3
มิติ
ผลข้างเคียงคือลูกตาข้างซ้ายจะบอด
หรือให้เอาตาซ้ายออกไปก่อนแล้วค่อยฉายรังสี
แต่ถึงไม่เอาออกเซลล์ประสาทตาก็จะค่อยเสื่อมๆ
แล้วก็บอดไปในที่สุด
ตอนนั้นพอหมอให้ทางเลือกยังงี้ก็เลยมองว่าคงต้องเลือกทางอื่น
ผมคงต้องรักษามะเร็งด้วยตัวเอง
ผมไม่อยากตาบอดครับ
ผมหาข้อมูลจากหลายๆ
ที่ครับทั้งหนังสือ
อินเตอร์เน็ต
คำแนะนำของญาติพี่น้อง
เพื่อนฝูง
ข้อมูลล้นหลามเกี่ยวกับการรักษามะเร็งให้หายขาด
แต่ที่ผมสนใจมากที่สุดและได้ผลมาถึงทุกวันนี้มาจากน้าชายของผมเองครับ
แกเป็นตำรวจอยู่สุโขทัยแนะนำให้ผมทานเอนไซม์
ในขณะนั้นผมไม่ค่อยเชื่อแกเท่าไหร่
ไม่เชื่อเลยดีกว่าครับ
เพราะหมอยังไม่ประกันว่าจะหายขาดแต่น้าผมนี่แน่ใจมากกว่าหมออีก
แต่เราไม่มีทางเลือกลองก็ลองครับ
ผมตัดสินใจเริ่มภาระกิจรักษามะเร็งด้วยตัวเองเลยครับ
เอนไซม์ตัวนี้เค้าบอกว่าทำมาจากต้นอ่อนของพืชครับ
ผมก็เลยหาข้อมูลเพิ่มขึ้นปรากฏว่าเจ้าต้นอ่อนของพืชนี่สรรพคุณเยอะเชียวหลายๆ
คนที่รักสุขภาพน่าจะรู้จักแต่ผมไม่ค่อยคุ้นเท่าไหร่แค่เคยเห็นผ่านตาครับ
รวมๆ
แล้วมันจะช่วยระบบภูมิคุ้มกันของเราให้แข็งแกร่งขึ้น
ผมก็เลยคำนึงถึงคำพูดของหมอที่บอกว่าถ้าภูมิคุ้มกันเราดีร่างกายจะกำจัดมะเร็งออกไปเอง
ผมก็ลุยเลยครับ
อัดเต็มที่
ระหว่างนั้นก็ดูแลเรื่องข้าวปลาอาหารกับออกกำลังกายเบาๆ
บ้าง
ต้นอ่อนพืชมันมีงานการศึกษาค้นคว้าจากแพทย์เกาหลีจากหนังสือที่ชื่อทำแบบนี้มะเร็งไม่กลับมาอีกแน่
เค้าเขียนไว้แบบนี้ครับ
งานวิจัยมากมายพิสูจน์ให้เห็นว่า
สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพแต่ละกลุ่มในต้นอ่อนของพืชช่วยรักษาและควบคุมการเกิดโรคมะเร็งได้จึงถูกนำมาใช้ในวิธีโภชนบำบัด
ยกตัวอย่างเช่น บรอกโคลี่
ซึ่งอุดมด้วยวารซัลโฟราเฟน
(sulforaphane)
ที่เป็นสารประกอบซัลเฟอร์
มีฤทธิ์ในการสนับสนุนภูมิคุ้มกันและต้านมะเร็ง
ก็มีรายงานว่า
ในต้นอ่อนของบรอกโคลี่มีปริมาณสารซัลโฟราเฟนยิ่งกว่าในบรอกโคลี่ที่โตเต็มที่ประมาณ
40 เท่าขึ้นไป
ต้นอ่อนของข้าวบัควีอุดมไปด้วยสารลูทีน
(lutein)
ซึ่งเป็นสารประกอบฟลาโวนอยที่มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระสูง
จึงช่วยควบคุมอนุมูลอิสระซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย
พร้อมด้วยควบคุมการเกิดและการขยายตัวของเซลล์มะเร็งได้
ส่วนข้อมูลที่ทำให้ผมตัดสินใจลองกินเอนไซม์พืชเพื่อจะการรักษามะเร็งด้วยตัวเองก็คืองานวิจัยที่ผมหาได้จากอินเตอร์เน็ตอันนี้ครับ:
ในค.ศ. 1911 (พ.ศ. 2454) ดร. John Beard
ได้รายงานไว้ในวารสารการแพทย์ของประเทศอังกฤษ
เรื่องความสำเร็จของการใช้เอนไซม์รักษาโรคมะเร็งในมนุษย์
อีกประมาณ 80 ปีต่อมาคือ
ในค.ศ. 1987 ดร. Gonzalez
จากรัฐนิวยอร์ค
สหรัฐอเมริกา
ได้ทำการรักษาคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคมะเร็งโดยใช้เอนไซม์บำบัด
ดร. Gonzalez
ได้ทำรายงานถึงประสิทธิผลของการรักษา
ซึ่งสถาบันมะเร็งแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา
(National Cancer Institute)
ได้เชิญให้หยิบยกผลงาน
ในที่ประชุม ดร. Gonzalez
ได้สรุปผลการรักษาผู้ป่วยผู้หญิงรายหนึ่งซึ่งเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งได้กำจรไปยังสมองและตับ
คนไข้ผู้นี้ได้รับการรักษาโดยใช้เอนไซม์เป็นสำคัญ
ปรากฏว่ามะเร็งหายไป
นอกจากนั้น ดร. Gonzalez
ยังได้รายงานการรักษาคนไข้อีกหลายรายที่เป็นมะเร็งระยะสุดท้าย
และรายงานด้วยว่าทุกคนอาการดีขึ้น
มะเร็งลดความรุนแรงลง
หลังการแสดงรายงานครั้งนี้
สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้มอบเงินทุนวิจัย
1.4 ล้านเหรียญสหรัฐแก่ ดร.
Gonzalez
เพื่อศึกษาและค้นคว้าการใช้เอนไซม์รักษาโรคมะเร็งในเชิงวิจัยเปรียบเทียบตามหลักทางสถิติต่อไป
:: _เรื่องทั้งหมดนี้
ลงในบทความของหนังสือพิมพ์วอชิงตันไทม์
(The Washington Times) ฉบับ วันที่ 8
เมษายน ค.ศ. 2001 (พ.ศ. 2544)_
ผ่านพ้น 2
เดือนผมไปตรวจรอบสอง
เค้าก็พาเข้าห้องแล้วเค้าก็เอาชิ้นเนื้อไปตรวจอีกที
เค้าส่งกล้องดูในช่องปากสิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่พบว่ามีเซลล์ที่ผิดปกติที่เคยตรวจเจอตอนแรกครับ!
ผมเริ่มชัวร์ว่าการรักษามะเร็งด้วยตัวเองของผมน่าจะได้ผล
แต่เค้าก็ยืนยันว่าจะผ่า
แต่ผมมองว่าถ้าไม่เจอเนื้อร้ายแล้ว
ขอไม่ผ่าดีกว่าขอเสี่ยงทางอื่นดู
เพราะถ้าสภาพเริ่มดีขึ้น
มันน่าจะเวิคครับ
เพราะผ่าแล้วก็ยังต้องทำเคมีกับรังสีบำบัดอยู่ดี
วันที่นัดผ่าตัดหมอยังโทรมาตามให้ไปผ่าอยู่เลยครับ
ผมก็บอกไปว่าไม่ผ่าแล้ว
หมอก็บอกว่ามันจะช่วยนะ
ช่วยให้การคาดการณ์โรคดีขึ้น
(แต่ไม่มีรับประกันว่าจะหาย)
ผมก็เลยไม่เอาดีกว่า
ลองทางของตัวเองดู
ถ้าหมอยังไม่การันตีว่าจะหายผมจะรักษามะเร็งด้วยตัวเองนี่แหละครับไม่หายก็ไม่เป็นไร
หมอยังไม่บอกว่าจะหายเลย
แหะแหะ
ตอนนี้ผมก็กินเอนไซม์พืชมา
2 ปีแล้วครับ
ล่าสุดผมไปตรวจเมื่อปีที่แล้วทิ้งช่วงหลังจากเจอหมอครั้งสุดท้าย
6 เดือน
ปรากฏว่าหมอส่งกล้องแล้วเซลล์ที่เคยเป็นเนื้อร้ายปกติธรรมดาดีทุอย่างครับ
สิ่งที่ผมเห็นคือเนื้อเป็นสีชมพูปกติเหมือนไม่เคยเป็นอะไรเลยครับ
หมอไม่ได้บอกผมว่าหายจากโรคมะเร็งแล้วนะครับ
หมอบอกให้ทราบว่าไม่เจอเนื้อร้ายแล้วเซลล์ปกติดีทุกอย่าง
สำหรับใครที่กำลังป่วยเป็นมะเร็งอย่าพึ่งยอมแพ้นะครับ
ถ้าผมรักษามะเร็งด้วยตัวเองได้คุณก็ทำได้ครับ
ผมขอบคุณตัวเองที่มีสติและมองหาทางเลือกที่ดีที่สุดในกับตัวเอง
ผมไม่อยากเสียดวงตาของผมไปครับ
ขอบคุณน้าชายของผมที่แนะนำให้ผมกินเอนไซม์พืช
ขอบคุณที่ตัวเองหาข้อมูลเพิ่มติมจนทราบโรคนี้มากขึ้น
ณ เวลานี้ผมใช้ชีวิตเป็นปกติมาตลอด
แถมยังสมบูรณ์แข็งแรงกว่าเดิมอีก
ออกกำลังได้มากกว่าเดิมอีกครับ
ทั้งนี้ทั้งนั้นผมไม่ได้บอกว่าทุกคนต้องรักษามะเร็งด้วยตัวเองเท่านั้นหรือว่าไม่ต้องสนใจการรักษาของหมอเลยนะครับ
แต่ให้ตั้งสติอย่างกลัวมากไปแล้วลองหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคของเรารวมถึงหนทางรักษาให้เยอะๆ
แน่นๆ
เพราะมะเร็งแต่ละชนิดแตกต่างกันครับ
สิ่งหนึ่งที่ผมมั่นใจและกล้าคอมเฟิมก็คือการดูแลระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงสมูรณ์อยู่ตลอดเวลาครับ
เราควรให้ความสำคัญกับสิ่งนี้ให้มากๆ
เพราะระบบภูมิคุ้มกันของเราคือที่ดีที่สุดใรการป้องกันและรักษามะเร็งด้วยตัวเองครับ