เซลล์ตัวนี้มีความสำคัญตรงที่ทำภารกิจเป็นเหมือนตัวบังคับบัญชาระบบภูมิต้านทานทั้งปวง พอเซลล์นี้ถูกทำร้ายไประบบภูมิต้านทานก็ทำงานผิดปกติ ทำให้ไม่สามารถป้องกันร่างกายจากเชื้อโรคต่างๆ ได้ เมื่อร่างกายติดไวรัสเหล่านี้เข้าพร้อมกันๆ กันก็จะเกิดเป็นโรคเอดส์ในบั้นปลาย การตรวจหาจำนวนของ T-cells จึงเป็นตัวช่วยบ่งชี้ว่าระบบภูมิต้านทานของร่างกายยังทำงานดีอยู่หรือไม่ และเชื้อเอชไอวีทำให้ระบบภูมิคุ้มกันแย่ไปจนถึงเวลาที่ต้องรับยาต้านไวรัสหรือยัง
ในช่วงปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์สมัยใหม่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้การวินิจฉัยโรคต่างๆ สามารถทำได้อย่างฉับพลัน และช่วยลดความเสี่ยงในการเสียชีวิตหรือพิกลพิการของผู้ป่วยได้เยอะแยะ
ครั้งนี้เรามาดูกันว่าผู้รักษามีวิธีการวินิจจัยและจ่ายยาต้านไวรัสให้ผู้เจ็บป่วย โดยพินิจจากปริมาณเม็ดเลือดขาวหรือ cd4 เช่นไร
แต่ถ้าเล่าถึงชื่อย่อ cd4 อาจจะไม่รู้ว่าคืออะไร ขอไขความง่ายๆ ครับว่า cd4 บางคราวถูกเรียกว่า T-cells หรือ T-helper cells เป็นเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งจัดระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายต่อการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ซึ่งเจ้าเซล์เม็ดเลือดชนิดนี้มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี ด้วยเพราะเป็นเซลล์ที่เชี้อเอชไอวีเข้าไปทำร้ายทำลาย
ยาต้านไวรัสเอดส์โดยมากใช้ได้ผลดี แต่ก็ยังอาจพบปัญหาของการใช้ยาบางชนิด ได้แก่ ตัวปัญหาจากผลข้างเคียงของยา ตัวปัญหาการต้านยาทั้งใน
โดยระดับปกติของ T-cells ในคนที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี จะอยู่ระหว่าง 400 1600 ต่อเลือด 1 ลบ.มม. และ T-cells ของสุภาพสตรีที่ไม่ติดเชื้อเอชไอวี นั้นจะมีแนวโน้มที่สูงกว่าเล็กน้อย คือ 500 1600.
ธรรมดาร่างกายจะผลิตเซลล์เม็ดเลือดขาวไม่กี่ล้านเซลล์ แต่เจ้าไวรัสเอชไอวี สามารถแบ่งตัวได้มากถึงวันละหมื่นล้านตัว นับว่าเป็นจำนวนที่เหลื่อมล้ำกันอย่างชัดเจนจนน่ากลัวเลยใช่มั้ยครับผม
เพราะฉะนั้นค่าที่เป็น Absolute
cd4 จึงเป็นค่าที่นำไปเป็นหลักเกณฑ์การรับยาต้านไวรัส ถ้าค่า cd4 ต่ำกว่า 200 มา ก็ไปพบผู้รักษาเพื่อขอทานยาต้านไวรัสได้เลย อย่างไรก็ตามถ้ายังสูงมากกว่า 200 ก็อย่าเพิ่งกินยาต้าน ให้รักษาตามอาการเเทรกซ้อนด้วยยาเฉพาะโรคอื่นๆ ไปก่อนครับผม ซึ่งยาต้านไวรัสเอดส์หรือบางท่านเรียกสั้นๆ ว่า
ยาต้าน
ศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า
เออาร์วี
(ARV) ย่อมาจาก antiretroviral cd4
สมัยนี้เราใช้จำนวนเซลล์ cd4-T lymphocyte และปริมาณเชื้อ viral load หรือ HIV RNA มาเป็นตัวบอกระยะและพยากรณ์ของโรค ตัวอย่างเช่น ผู้ที่มีปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวT lymphocyte มากกว่า 500 cells/mm3 จะมีโอกาสเสี่ยงต่ำในการเกิดโรคเอดส์และโรคภัยแทรกซ้อนอื่นใน 3 ปี การเจาะตรวจ T-cells ควรจะเจาะทุก 3-6 เดือนขึ้นกับสภาพของคนไข้ ผู้ที่เจาะได้เซลล์ปริมาณน้อยก็ต้องเจาะถี่ขึ้น ส่วนผู้ที่มีเซลล์มากก็เจาะทุก 6 เดือน
การถอยอย่างยิ่งของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะเป็นสัญญาณของอาการที่จะเกิดขึ้นก่อน 1 ปี ก่อนที่จะวินิจฉัยว่าคนป่วยเป็นโรคเอดส์อย่างสมบูรณ์ การควบคุมร่างกายที่ดีจึงควรเข้ารับการตรวจทานวัดระดับเซลล์เม็ดเลือดขาว (cd4) อย่างโดยตลอด เหตุเพราะระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวมีความสลักสำคัญอย่างมากที่จะใช้เป็นแนวทางในการรักษา หรือการให้ยาต้านไวรัสแก่ผู้เจ็บป่วยเพื่อป้องกันโรคแทรกซ้อนบางกลุ่ม เช่น ระดับ T-cells น้อยกว่า 200 แพทย์จะให้การดูแลป้องกันโรคปอดอักเสบ เป็นต้น
ค่าปรกติเม็ดเลือดขาวหรือ WBC คือ ประมาณ 5000-10000 cells/cu.mm.ส่วนค่า % Lymp จะไม่เหมือนกัน บางท่านสูง บางคนต่ำ ค่าประจำของ % Lymp อยู่ในช่วงใกล้เคียง 19-48% โดยเหตุนั้นจึงต้องดูค่าทั้ง 3 อย่างเเละนำไปใส่สมการสูตรคำนวณออกมา
ซึ่งเซลล์เม็ดเลือดขาวเองก็เป็นพารามิเตอร์แบบอย่างที่แพทย์ใช้ในการวินิจฉัยโรคในระดับต้น
แม้นว่าถ้าคุณไม่มีเชื้อ เอชไอวี แต่ก็ยังมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อปริมาณ T-cells เช่น T-cells ของสตรีจะขึ้นและลงในช่วงที่มีระดู ยาคุมชนิดเม็ดจะทำให้ปริมาณ T-cells ถดถอยได้ หรือในบางขณะที่ร่างกายพักเหนื่อย T-cells จะลดระดับลงและลดลงได้มากถึง 40% เป็นอาทิ
ในยุคปัจจุบันมียาต้านไวรัสเอดส์ปริมาณมาก ออกฤทธิ์ขวางการขยายพันธุ์ทำให้เชื้อไวรัสเอดส์เบาลงได้ และช่วยปกป้องไม่ให้เชื้อไวรัสเข้าไปทำร้ายเซลล์เม็ดเลือดขาวประเภท T-cell
ผู้ที่ติดเชื้อที่ระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวร่อยหรออย่างฉับพลันในช่วงติดเชื้อใหม่และไม่สามารถรักษาพยาบาลระดับเซลล์เม็ดเลือดขาวให้คงเดิมได้ มีความเอนเอียงที่จะมีอาการของโรคเอดส์เร็วกว่าปกติขอรับ เมื่อใดที่การตรวจวัดระดับของเซลล์เม็ดเลือดขาวอยู่ที่ 200-500 นั่นเสนอว่าระดับภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ถูกทำลายแล้ว